ทอม แคลนซี นักประพันธ์ ชาวอเมริกันเป็นที่รู้จักกันดี
Posted 2021/05/19 226 0
ทอม แคลนซี เขาเป็นใคร มีความเกี่ยวข้องกับวงการภาพยนตร์ได้อย่างไร
ทอม แคลนซี เกิด 12 เมษายน 2490 ที่ โทมัสลีโอแคลนซีจูเนียร์ บัลติมอร์, รัฐแมรี่แลนด์, สหรัฐอเมริกา เป็นชาวอเมริกัน นักประพันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี เขาเสียชีวิตเมื่อ 1 ตุลาคม 2556 ด้วยอายุ 66 ปี สาเหตุของการเสียชีวิตยังไม่ทราบแน่ชัด สำหรับรายละเอียดทางเทคนิคของเขา การจารกรรม และ วิทยาศาสตร์การทหาร ตุ๊กตุ่นที่ตั้งไว้ระหว่างและหลัง สงครามเย็น นวนิยายของเขาสิบเจ็ดเล่มเป็นหนังสือขายดีและหนังสือของเขาขายได้มากกว่า 100 ล้านเล่ม
ชื่อของเขายังใช้ในบทภาพยนตร์ที่เขียนโดย นักเขียนผี หนังสือสารคดี เกี่ยวกับวิชาทหารที่มีผู้เขียนร่วมและวิดีโอเกมเป็นครั้งคราว เขาเป็นเจ้าของบ้านเกิดส่วนหนึ่ง เมเจอร์ลีกเบสบอล ทีม บัลติมอร์ Orioles ของ อเมริกันลีก และรองประธานของกิจกรรมชุมชนและคณะกรรมการกิจการสาธารณะ
อาชีพวรรณกรรมของ Clancy เริ่มต้นในปี 1984 เมื่อเขาขายนวนิยายระทึกขวัญทางทหารเรื่องแรกของเขา The Hunt for Red October ในราคา $ 5,000 ที่เผยแพร่โดยนักวิชาการขนาดเล็ก สำนักพิมพ์สถาบันทหารเรือ ของ แอนแนโพลิสแมริแลนด์
ผลงานของเขา The Hunt for Red October (1984), เกมรักชาติ (1987), ชัดเจนและนำเสนออันตราย (1989) และ ผลรวมของความกลัวทั้งหมด (1991) กลายเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ นักแสดง อเล็กซ์บอลด์วิน, แฮร์ริสันฟอร์ด, เบนแอฟเฟล็ค, คริสไพน์และ จอห์นคราซินสกี ได้รับบทเป็นตัวละครที่โด่งดังที่สุดของ Clancy แจ็คไรอัน
อีกหนึ่งตัวละครที่รู้จักกันดีของเขา จอห์นคลาร์กได้รับการถ่ายทอดโดยนักแสดง วิลเลมดาโฟ และ Liev Schreiber. ผลงานของ Tom Clancy ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับเกมเช่น Ghost Recon, สายรุ้งหก, กองและ Splinter Cell ชุด นับตั้งแต่การเสียชีวิตของ Clancy ในปี 2013 ซีรีส์ Jack Ryan ได้รับการสานต่อโดยครอบครัวของเขาผ่านชุดของนักเขียน
ผู้รับผิดชอบภาพยนตร์หลายเรื่อง วิดีโอเกมและแฟรนไชส์วรรณกรรม
ตลอด 3 ทศวรรษในวงการวรรณกรรม และยอดขายมากกว่า 100 ล้านเล่ม ทอม แคลนซี่ สร้างชื่อขึ้นมาในฐานะนักเขียนนิยายแนวระทึกขวัญที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง, การทหาร และความมั่นคง ที่เขาเขียนออกมาได้สนุกตื่นเต้น และน่าเชื่อถือ แม้อันที่จริงแล้วเจ้าตัวจะไม่เคยทำงานด้านนี้เลยก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการทหารและทางความมั่นคงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ยุทโธปกรณ์อันทันสมัย หรือการบรรยายภาพของเรือดำน้ำ และเครื่องบินรบรุ่นใหม่ได้เหมือนรู้ข้อมูลเชิงลึก จนผลงานหลายเรื่องของเขาได้ถูกนำไปดัดแปลงเป็นทั้งภาพยนตร์ และวิดีโอเกมมากมาย
โธมัส ลีโอ แคลนซี จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 1947 ในบัลติมอร์ โดยเขาเริ่มต้น อาชีพนักเขียน ด้วยนิยายเรื่อง The Hunt for Red October (ล่าตุลาแดง) ในปี 1985 ที่เขาขายลิขสิทธิ์ให้กับสำนักพิมพ์ของสถาบันทหารเรือด้วยจำนวนเงิน 5,000 เหรียญฯ หลังบรรณาธิการของสถาบันได้อ่านงานของ แคลนซี่ แล้วเกิดความประทับใจมาก ถึงกับกล่าวออกมาว่า “เรากำลังจะมียอดนักเขียนขายดีคนใหม่เกิดขึ้น ถ้าไม่รีบคว้าหนังสือเล่มนี้เอาไว้ คนอื่นก็อาจจะได้ไป”
The Hunt for Red October เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับปฏิบัติการของซีไอเอหนุ่มที่ชื่อว่า แจ็ค ไรอัน ที่ต่อมาได้กลายเป็นตัวละครดังในหมู่ผู้อ่าน เมื่อ แคลนซี เขียนเรื่องราวการทำงานของตัวละครตัวนี้ออกมาอีกเรื่อยๆ ในผลงาน อาทิ Patriot Games, Clear and Present Danger และ The Sum of All Fears เป็นต้น
แคลนซี ได้รับการยกย่องว่าสามารถหยิบเอาความเปลี่ยนแปลงของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในยุคต่างๆ มาเขียนถ่ายทอดในนิยายได้อย่างน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นในยุคสงครามเย็น จนถึงภัยก่อการร้ายจากตะวันออกกลาง ตั้งแต่ ไรอัน เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ CIA จนผันตัวไปเล่นการเมือง และได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ
โดยในปลายปี 2556 นิยายที่ว่าด้วยเรื่องราวของ แจ็ค ไรอัน เล่มใหม่ที่ชื่อว่า Command Authority ก็กำลังจะได้ออกวางตลาดแล้ว กับเรื่องราวที่ว่าด้วยการกลับมามีอำนาจของผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองคนหนึ่งในรัสเซีย จนกลายเป็นภัยคุกคามใหม่ของสหรัฐฯ ที่ประธานาธิบดี แจ็ค ไรอัน ต้องเข้ามาจัดการ
เรื่องราวของ แจ็ค ไรอัน ไม่ได้เพียงโลดแล่นอยู่ในหน้ากระดาษเท่านั้นแต่ยังเคยถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาแล้วถึง 4 เรื่อง มีนักแสดง 3 คนที่เคยรับบทตัวละครตัวนี้ นับจาก อเล็ก บัลด์วิน, แฮร์ริสัน ฟอร์ด และ เบน เอฟเฟล็ค
ซึ่งล่าสุดได้มีการนำเรื่องราวของ แจ็ค ไรอัน กลับมาขึ้นจออีกครั้ง ในภาพยนตร์ที่ชื่อว่า Jack Ryan: Shadow One ที่คราวนี้ คริส ไพน์ จะมาสวมบทเป็นเจ้าหน้าที่ CIA คนเก่งในวัยหนุ่มแน่น โดยหนังได้ เคนเน็ธ บรานาห์ มารับหน้าที่กำกับ และจะลงโรงฉายในปลายปีนี้เช่นเดียวกัน
จักรวาลของ ทอม แคลนซี ยังไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่จอภาพยนตร์เท่านั้น แต่เขายังได้มีส่วนร่วมในการก่อตั้งสตูดิโอผลิตวิดีโอเกมที่ชื่อว่า Red Storm Entertainment ที่ประสบความสำเร็จในการผลิตวิดีโอเกมที่มีคุณภาพ และนำเสนอเรื่องราวทางการทหารได้อย่างลุ่มลึกเหนือกว่าเกมแนวเดียวกันทั่วๆ ไป ทั้ง Rainbow Six ที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นเกมได้รับภารกิจของหน่วยพิเศษ ตั้งแต่วางแผนจนถึงลงมือปฏิบัติการ ซึ่งที่มีออกมาให้เล่นกันถึง 18 ภาคด้วยกัน ส่วน Splinter Cell ที่มี UbiSoft เป็นผู้ผลิตก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นเกมแนวจารชนลอบเร้นที่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน
ทอม แคลนซี่ ยังมีชื่อในฐานะนักเขียนหัวเอียงไปทางการเมืองฝั่งอนุรักษนิยม และออกหน้าสนับสนุนสมาพันธ์ปืนไรเฟิลแห่งชาติอย่างเปิดเผย
ครั้งหนึ่งเขายังเคยสร้างประเด็นถกเถียงขึ้นมา ในการให้ความเห็นว่ากลุ่มนักการเมืองฝ่ายเสรีนิยมคือผู้มีส่วนรับผิดชอบ สำหรับการกดดันการทำงานของ CIA จนทำให้ไม่สามารถระวังป้องกันเหตุร้ายวันที่ 11 ก.ย. 2001 ได้อย่างทันท่วงที “CIA โดนล้วงลูกจากพวกการเมืองฝั่งซ้ายที่ไม่ชอบงานราชการลับพวกนี้ … ผลโดยอ้อมก็คือเราสูญเสียพลเมืองไป 5,000 คน” เขากล่าวกับ บิล โอ’ไรลี ของ Fox News หลังสหรัฐฯ ถูกโจมตีเมื่อปี 2001
ทอม แคลนซี กับภาพยนต์ปี2021 (ลบรอยแค้น) ที่บู๊ระห่ำดุเดือด
Tom Clancy’s Without Remorse
หนังที่ทำลงโรงจาก Paramount Pictures แต่มาติดปัญหาโควิด ไม่ได้ฉาย สุดท้าย Amazon Prime มาซื้อไป ซึ่งเรื่องนี้ทางค่ายหนังตั้งใจเอามานิยายชุดตัวเอก จอห์น คลาร์ก ของ ทอม แคลนซี มาทำเป็นแฟรนไชส์ต่อกันยาวๆ โดยเล่ม Without Remorse เป็นจุดกำเนิดของตัวละครนี้ ซึ่งฉบับนิยายวางขายเมื่อปี 1993 ในเวอร์ชั่นนี้จึงมีการเปลี่ยนแปลงปรับโฉมใหม่ทั้งหมด เรียกว่าเอามาแต่ชื่อตัวเอกกับโครงหลวมๆ เท่านั้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้กระแสตอบรับไม่ถูกใจแฟนๆ นิยาย จนทำให้คะแนนของเรื่องต่ำมากๆ (IMDB เฉลี่ยได้ 5 กว่า เว็บมะเขือได้ 40% กว่าเท่านั้น) แต่ผู้เขียนไม่ได้เป็นคนอ่านนิยายมาก่อน แต่ก็รู้จักทอมแคลนซี่ดีจากเวอร์ชั่นทั้งหนังและเกมที่ทำออกมาหลายภาคทั้งคู่ ดังนั้นในรีวิวนี้จึงเป็นมุมมองของคนดูหนังทั่วไปกับเรื่องนี้โดยตรงไม่มีเรื่องของนิยานมาปนครับ
เนื้อเรื่องถูกปรับจากสงครามเวียดนามมาเป็นยุคปัจจุบันที่จอห์นเองยังเป็นหน่วยซีลบุกเข้าไปชิงตัวประกันในตะวันออกกลาง ก่อนจะกลายเป็นว่าภารกิจนั้นศัตรูเป็นทหารรัสเซีย ซึ่งแม้จอห์จะเอาตัวรอดได้ แต่ก็กลายเป็นปริศนาคาใจว่าทำไมภารกิจที่ได้รับถึงกลายเป็นรัสเซียไปได้ ในเวลาต่อมาทีมที่ทำภารกิจนั้นกลับถูกเก็บในอเมริกาขณะอยู่กับครอบครัว จอห์นเองรอดมาได้แบบเฉียดตาย แต่เมียที่ตั้งท้องถูกฆ่า เขาจึงต้องสืบให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นผู้บงการฆ่าที่แท้จริง
ตัวหนังทำออกมาเข้มข้นมากจากฉากการสืบสวนของจอห์น ที่เป็นสไตล์แปลกใหม่ด้วยการเอาตัวเองกับเหยื่อที่เขาต้องการเค้นข้อมูลไปอยู่ในจุดที่คับขัน อย่างการราดน้ำมันจุดไฟเผารถเหยื่อ แต่เขาเองกลับเข้าไปในรถเพื่อรีดข้อมูลด้วย ซึ่งเทคนิคบ้าดีเดือดของพระเอกในเรื่องนี้คือดิบสุดๆ แบบที่ไม่เคยมีตัวเอกหนังแอ็กชั่นในเรื่องอื่นทำมาก่อนแน่นอน และก็ไม่ได้มีแค่ฉากนั้นฉากเดียว แต่มีฉากอื่นที่เป็นแนวเดียวกันอีกครั้งในตอนจบ รวมถึงวิธีการช่วยเพื่อนแบบเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อคนเดียวให้โดนรุมทึ้งก็ด้วย โดยมีเหตุผลจากการที่พระเอกหมดความหวังในชีวิตแล้วจากที่เสียเมียกับลูกไป ทำให้การกระทำของพระเอกในเรื่องเป็นแนวลุยเพื่อไปตายดูสมเหตุสมผลในตัว
จุดสังเกตของเรื่องสรุป
แม้หนังจะไม่ใช่แอ็กชั่นแบบฟอร์มยักษ์มาก แต่ก็มีความสนุกมันส์ๆ ให้ดูกันตลอดเรื่อง แต่ถ้าคนที่เป็นแฟนนิยายมาก่อนคงผิดหวังกับการดัดแปลงหลายอย่างในเรื่องมากพอดู ซึ่งสุดท้ายพอไม่ได้ฉายโรงด้วยก็ไม่รู้ว่าผลตอบรับในตอนนี้ จะทำให้ตัวละครจอห์น คลาร์ก ได้ทำภาคต่อไปรึเปล่า
อีกจุดที่เรื่องนี้ค่อนข้างแปลกในยุคนี้คือการที่พระเอกแม้จะเก่งมากๆ แต่ก็เจอยิงสวนเจ็บตลอดเรื่อง ไม่มีการไล่ยิงแบบเท่ๆ เหมือนจอห์นวิค ไม่มีฉากที่ตั้งใจยิงเท่ๆ อะไรทั้งสิ้น
การที่พระเอกบาดเจ็บอยู่ตลอดเวลา บางครั้งถึงเจียนตาย ทำให้เรื่องดูสมจริงขึ้นมาก แม้เราจะรู้แหละว่ายังไงพระเอกก็ไม่ตายแน่ๆ
ฉากแอ็กชั่นใหญ่ในเรื่องนี้มี 3 ฉาก คือฉากเปิดเรื่องในตะวันออกกลาง ฉากเครื่องบินตก ฉากลุยในตึกรัสเซีย นอกนั้นคือฉากแอ็กชั่นแบบประปรายพอประกอบเรื่องเท่านั้น อาจจะเพราะด้วยเวลาของหนังสั้นมากแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง (ไม่รวมเครดิต) จึงทำให้ใส่ฉากไม่ได้เยอะ แต่ก็ทำให้เรื่องอัดฉากแอ็กชั่นเข้ามาต่อเนื่องได้กำลังดี เหมาะสมกับเวลาแล้ว
ตัวเอกในเรื่องนี้ถูกปรับจากคนขาวมาเป็นคนดำ โดยได้ Michael B. Jordan มาเล่น ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร ทั้งจากการแสดงและการเปลี่ยนเชื้อชาติตัวละคร เพียงแต่ตัวไมเคิลเองก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดึงดูดหรือมีเสน่ห์มาก แต่นอกจากพระเอกแล้วหัวหน้าหน่วยซีลของพระเอกก็ถูกปรับเป็นสาวผิวดำเช่นกัน เล่นโดย Jodie Turner-Smith ที่ไม่ได้ดังหรือมีชื่อคนรู้จักมาก แต่บทนี้เองเข้าใจว่ามีความสำคัญสูงในตัวนิยาย มีความเชื่อมต่อโยงกับ โรเบิร์ต ริตเตอร์ เล่นโดย Jamie Bell หัวหน้า CIA ในอนาคตที่ทำงานร่วมทีมกับพระเอกในการก่อตั้งหน่วย Rainbow six ที่เป็นทีมต่อต้านการก่อการร้ายนานาชาติ โดยคัดทหารหลายชาติมารวมตัวกันผ่าน NATO ซึ่งในเรื่องนี้บางครั้งบทสนทนาจะเป็นแบบทั้งคู่รู้จักกันมาก่อนจากวิกฤติต่างๆ ซึ่งคนอ่านนิยายจะเข้าใจมากกว่า
จุดด้อยของเรื่องจริงๆ คือบทที่ถูกปรับมาเป็นยุคใหม่แล้ว แต่ก็ยังเป็นแนวเดิมๆ ไม่แปลกใหม่ เดาได้ไม่ยาก ตัวร้ายก็ยังวนเวียนกับพล็อตเดิมๆ แนวหลอกใช้พระเอก ก่อนที่ตัวเอกจะรู้ตัวรอดตายแล้วกลับมาเอาคืน ซึ่งจุดหักมุมในเรื่องนี้จริงๆ ถือว่าไม่มีเพราะแทบเดาได้หมดทั้งเรื่อง แต่ถ้าดูเพลินๆ ไม่คิดมากนี่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเช่นกัน
อ่านต่อ>>>รวมหนังจอห์นนี เดปป์